สรุปข้อกฎหมายเกี่ยวกับระบบเสียงเตือน (Alarm) ในโรงงานอุตสาหกรรม

## สรุปข้อกฎหมายเกี่ยวกับระบบเสียงเตือน (Alarm) ในโรงงานอุตสาหกรรม สำหรับเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยวิชาชีพ

 

ในฐานะเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน (จป.วิชาชีพ) การทำความเข้าใจและปฏิบัติตามข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับระบบเสียงเตือน (Alarm) ในโรงงานอุตสาหกรรม ถือเป็นหัวใจสำคัญในการป้องกันและระงับเหตุฉุกเฉิน เพื่อรักษาไว้ซึ่งความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของสถานประกอบกิจการและลูกจ้าง บทความนี้ได้สรุปเงื่อนไขการติดตั้งและการตรวจสอบความดังของเสียงเตือนตามที่กฎหมายกำหนด พร้อมอ้างอิงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

### **เงื่อนไขการติดตั้งระบบเสียงเตือน (Alarm) ในโรงงาน**

กฎหมายไทยได้กำหนดเงื่อนไขการติดตั้งระบบเสียงเตือนไว้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกรณีอัคคีภัย ซึ่งเป็นเหตุฉุกเฉินพื้นฐานที่โรงงานทุกแห่งต้องมีมาตรการป้องกันและระงับเหตุ นอกจากนี้ ยังมีข้อกำหนดโดยนัยที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงด้านอื่นๆ เช่น สารเคมีอันตราย

#### **1. การติดตั้งระบบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้ (Fire Alarm System)**

โรงงานอุตสาหกรรมมีหน้าที่ต้องติดตั้งระบบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้ตามที่กฎหมายกำหนด เพื่อให้ลูกจ้างทุกคนสามารถรับทราบเหตุการณ์และอพยพได้อย่างทันท่วงที

**กฎหมายอ้างอิงหลัก:**

* **ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การป้องกันและระงับอัคคีภัยในโรงงาน พ.ศ. 2552**

* **กฎกระทรวงการป้องกันและระงับอัคคีภัยในสถานประกอบกิจการเพื่อความปลอดภัยในการทำงานสำหรับลูกจ้าง พ.ศ. 2555** (ออกตาม พ.ร.บ. ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554)

**สาระสำคัญและเงื่อนไขการติดตั้ง:**

* **ความครอบคลุม:** ต้องติดตั้งระบบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้ **ให้ครอบคลุมทั่วทั้งโรงงานหรือสถานประกอบกิจการ** (ข้อ 4, ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมฯ)

* **อุปกรณ์ตรวจจับ:** ต้องมีอุปกรณ์ตรวจจับเหตุเพลิงไหม้ (Detector) เช่น อุปกรณ์ตรวจจับควัน (Smoke Detector) หรือ อุปกรณ์ตรวจจับความร้อน (Heat Detector) ในปริมาณที่เพียงพอและเหมาะสมกับพื้นที่เสี่ยงต่างๆ ภายในโรงงาน

* **อุปกรณ์แจ้งเหตุ:** ต้องประกอบด้วยอุปกรณ์แจ้งเหตุทั้งแบบอัตโนมัติ (ผ่าน Detector) และแบบแจ้งเหตุด้วยมือ (Manual Call Point หรือ Manual Pull Station)

* **อุปกรณ์ส่งสัญญาณ:** ต้องมีอุปกรณ์ส่งสัญญาณเตือนภัย (Alarm Devices) ที่สามารถส่งเสียงและ/หรือแสง ให้ลูกจ้างที่อยู่ในพื้นที่ต่างๆ ได้รับทราบอย่างทั่วถึง

* **แหล่งจ่ายไฟฟ้าสำรอง:** ระบบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้ต้องมีระบบไฟฟ้าสำรองที่สามารถจ่ายไฟให้ระบบทำงานได้ **ไม่น้อยกว่า 2 ชั่วโมง** ในกรณีที่ไฟฟ้าหลักดับ (ข้อ 4, ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมฯ)

* **มาตรฐานการติดตั้ง:** การติดตั้งระบบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้ต้องเป็นไปตาม **มาตรฐานสากลที่เป็นที่ยอมรับ** เช่น มาตรฐานของสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย (วสท.) หรือ National Fire Protection Association (NFPA) (ข้อ 5, ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมฯ)

#### **2. การติดตั้งระบบเสียงเตือนสำหรับอันตรายจากสารเคมี**

แม้กฎหมายจะไม่ได้ระบุประเภทของ “ระบบเสียงเตือน” สำหรับสารเคมีรั่วไหลโดยตรง แต่ได้กำหนดให้นายจ้างมีหน้าที่ป้องกันและควบคุมอันตรายจากสารเคมี ซึ่งการติดตั้งระบบเตือนภัยถือเป็นมาตรการเชิงป้องกันที่สำคัญ

**กฎหมายอ้างอิง:**

* **กฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับสารเคมีอันตราย พ.ศ. 2556**

**เงื่อนไขการติดตั้ง (พิจารณาจากการประเมินความเสี่ยง):**

* นายจ้างมีหน้าที่ประเมินความเสี่ยงของสารเคมีอันตรายที่ใช้ในโรงงาน

* หากผลการประเมินความเสี่ยงชี้บ่งว่าการรั่วไหลของสารเคมี (เช่น ก๊าซพิษ, สารไวไฟ) สามารถก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ นายจ้างจำเป็นต้องติดตั้ง **ระบบตรวจจับและแจ้งเตือน (Gas/Chemical Leak Detection and Alarm System)** ที่เหมาะสมกับชนิดและความเข้มข้นของสารเคมีนั้นๆ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของแผนปฏิบัติการฉุกเฉิน

### **การตรวจสอบการดังของเสียงและระบบเตือนภัย**

การมีระบบเตือนภัยที่ทำงานได้ดีนั้นไม่เพียงพอ แต่ต้องแน่ใจว่าสัญญาณเสียงมีความดังเพียงพอที่จะได้ยินอย่างชัดเจนท่ามกลางเสียงรบกวน (Ambient Noise) ในพื้นที่ปฏิบัติงาน

#### **1. ระดับความดังของสัญญาณเสียงเตือน**

* **ระดับเสียงขั้นต่ำ:** สัญญาณเสียงแจ้งเหตุอันตรายต้องมีระดับความดันเสียง **ไม่ต่ำกว่า 65 เดซิเบลเอ (dBA)** ในทุกตำแหน่งของพื้นที่รับสัญญาณ

* **ความชัดเจนของสัญญาณ:** ระดับความดังของเสียงเตือนภัย **ต้องสูงกว่าระดับเสียงรบกวนโดยรอบ (Ambient Noise) อย่างน้อย 15 เดซิเบลเอ (dBA)** เพื่อให้ลูกจ้างสามารถแยกแยะเสียงเตือนออกจากเสียงเครื่องจักรหรือเสียงรบกวนอื่นๆ ในภาวะปกติได้อย่างชัดเจน

**กฎหมายและมาตรฐานอ้างอิง:**

* แม้กฎหมายด้านอาชีวอนามัยโดยตรงอาจไม่ระบุตัวเลข 15 dBA ไว้อย่างชัดเจน แต่หลักปฏิบัตินี้อ้างอิงตามมาตรฐานสากล (เช่น NFPA 72, National Fire Alarm and Signaling Code) ซึ่งเป็นแนวทางที่ผู้ตรวจสอบและผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยยึดถือในการออกแบบและตรวจสอบระบบ

#### **2. ความถี่ในการตรวจสอบและทดสอบระบบ**

เพื่อให้ระบบเตือนภัยพร้อมใช้งานอยู่เสมอ กฎหมายได้กำหนดให้มีการตรวจสอบและบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ

**กฎหมายอ้างอิง:**

* **ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การป้องกันและระงับอัคคีภัยในโรงงาน พ.ศ. 2552 (ภาคผนวก ข.)**

**แนวทางการตรวจสอบและทดสอบ:**

* **การตรวจสอบด้วยสายตา (ประจำสัปดาห์/เดือน):**

* ตรวจสอบตู้ควบคุมระบบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้ (Fire Alarm Control Panel) ว่าอยู่ในสถานะปกติ ไม่มีสัญญาณไฟแจ้งเตือนความผิดปกติ (Trouble/Fault)

* ตรวจสอบว่าไม่มีสิ่งกีดขวางอุปกรณ์แจ้งเหตุ (Manual Call Point) และอุปกรณ์ส่งสัญญาณเสียง/แสง

* **การทดสอบการทำงาน (ประจำเดือน/ไตรมาส):**

* ทดสอบการทำงานของอุปกรณ์แจ้งเหตุด้วยมือ (Manual Call Point) อย่างน้อย 1 โซน หรือ 1 จุด โดยสลับตำแหน่งไปในแต่ละครั้ง

* ทดสอบการทำงานของอุปกรณ์ตรวจจับ (Detector) ตามแผนที่กำหนด

* **การทดสอบระบบโดยรวม (ประจำปี):**

* **ทดสอบการทำงานของอุปกรณ์ทุกตัวในระบบ** (All Devices Test) เพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์ทุกชิ้นสามารถส่งสัญญาณกลับไปยังตู้ควบคุมและตู้ควบคุมสามารถสั่งให้อุปกรณ์ส่งสัญญาณเสียง/แสงทำงานได้ตามปกติ

* **ตรวจสอบและวัดระดับความดังของเสียงเตือน (Sound Level Test)** ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วทั้งโรงงาน เพื่อยืนยันว่าระดับเสียงยังคงเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด และดังทั่วถึงทุกพื้นที่ปฏิบัติงาน

* ดำเนินการทดสอบโดยวิศวกรหรือบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ

**การบันทึกผล:**

จป.วิชาชีพมีหน้าที่ต้องจัดให้มีการ **จัดทำบันทึกผลการตรวจสอบและทดสอบ** ทั้งหมด เก็บไว้เป็นหลักฐานเพื่อให้พนักงานตรวจความปลอดภัยสามารถตรวจสอบได้

### **สรุปหน้าที่ของ จป. วิชาชีพ**

  1. **ประเมินความเสี่ยง:** ชี้บ่งพื้นที่และกิจกรรมที่จำเป็นต้องติดตั้งระบบเสียงเตือนภัย ทั้งสำหรับอัคคีภัยและอันตรายเฉพาะด้านอื่นๆ เช่น สารเคมี
  2. **ควบคุมการติดตั้ง:** ตรวจสอบและควบคุมให้การติดตั้งระบบเสียงเตือนเป็นไปตามกฎหมายและมาตรฐานสากลที่ยอมรับ
  3. **จัดทำแผนตรวจสอบ:** วางแผนและกำหนดความถี่ในการตรวจสอบ ทดสอบ และบำรุงรักษาระบบเสียงเตือนทั้งหมดในโรงงาน
  4. **ดำเนินการและควบคุม:** ควบคุมดูแลให้มีการตรวจสอบและทดสอบตามแผนที่วางไว้ รวมถึงการวัดระดับความดังของเสียงเตือนอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง
  5. **จัดทำเอกสาร:** จัดเก็บรายงานและผลการทดสอบทั้งหมดเพื่อเป็นหลักฐานและเพื่อการปรับปรุงแก้ไขในอนาคต

การปฏิบัติตามข้อกฎหมายเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นการลดความเสี่ยงจากบทลงโทษ แต่ยังเป็นการสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยและเสริมสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยที่ยั่งยืนให้แก่องค์กร

ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมเรื่อง กำหนดเกณฑ์การปนเปื้อนในดิน…พ.ศ. 2559

กฎหมายน่าสนใจ

ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมเรื่อง กำหนดเกณฑ์การปนเปื้อนในดินและน้ำใต้ดินการตรวจสอบคุณภาพดินและน้ำใต้ดิน การแจ้งข้อมูลรวมทั้งการจัดทำรายงานผลการตรวจสอบคุณภาพดินและน้ำใต้ดิน และรายงานเสนอมาตรการควบคุมและมาตรการลดการปนเปื้อนในดินและน้ำใต้ดิน c
ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ณ วันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

สรุปสาระสำคัญ

Øให้ผู้ประกอบกิจการโรงงานตามบัญชีกฎกระทรวงควบคุมการปนเปื้อนในดินและน้ำใต้ดินภายในบริเวณโรงงาน พ.ศ. 2559 แจ้งข้อมูลของสารเคมีที่ใช้หรือเก็บรักษาภายในบริเวณโรงงานแผนผังแสดงจุดเก็บตัวอย่างและบ่อสังเกตการณ์ และข้อมูลอื่นที่จำเป็น ต่อกรมโรงงานอุตสาหกรรมหรือสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดที่โรงงานตั้งอยู่ภายใน 180 วันนับแต่วันเริ่มประกอบกิจการโรงงาน กรณีที่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานมาก่อนวันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ ให้ยื่นข้อมูลและแผนผังดังกล่าวข้างต้นภายใน 180 วันนับแต่วันที่ประกาศ

Øการคำนวณเกณฑ์การปนเปื้อนในดินและน้ำใต้ดินให้ใช้ค่าความเสี่ยงอ้างอิง

  1. ค่า 10-6 สำหรับสารก่อมะเร็งในกลุ่ม 1 ตาม IARC กำหนดหรือ กลุ่ม เอ (Group A) ตาม U.S. EPA กำหนด
  1. ค่า 10-5 สำหรับสารก่อมะเร็งในกลุ่ม 2เอ (Group 2A) และกลุ่ม 2บี (Group 2B) ตาม IARC กำหนด หรือกลุ่ม บี (Group B) และกลุ่ม ซี (Group C) ตาม U.S. EPA กำหนด
  1. ค่า 1.0 สำหรับสารไม่ก่อมะเร็ง

Øการจัดทำรายงานผลการตรวจสอบคุณภาพดินและน้ำใต้ดินที่ผู้ประกอบกิจการโรงงานตามข้อที่กำหนดของกฎกระทรวงควบคุมการปนเปื้อนในดินและน้ำใต้ดินภายในบริเวณโรงงาน พ.ศ. 2559 จะต้องยื่นต่อกรมโรงงานอุตสาหกรรมหรือสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดที่โรงงานตั้งอยู่

Øการจัดทำรายงานเสนอมาตรการควบคุมการปนเปื้อนในดินและน้ำใต้ดินและมาตรการลดการปนเปื้อนในดินและน้ำใต้ดินให้ไม่สูงกว่าเกณฑ์การปนเปื้อนในดินและน้ำใต้ดิน

Øการตรวจสอบคุณภาพดินและน้ำใต้ดินต้องมีการเก็บตัวอย่างดินและน้ำใต้ดินตามคู่มือที่อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรมกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา

Øกรณีที่ผู้ประกอบกิจการโรงงานตามกฎกระทรวงควบคุมการปนเปื้อนในดินและน้ำใต้ดินภายในบริเวณโรงงาน พ.ศ. 2559 เห็นว่าโรงงานของตนไม่มีกิจกรรมหรือไม่มีการใช้หรือเก็บรักษาสารเคมี ของเสีย หรือสิ่งอื่นใดภายในบริเวณโรงงานซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ อนามัยและสิ่งแวดล้อมและอาจก่อให้เกิดการปนเปื้อนในดินและน้ำใต้ดิน ผู้ประกอบกิจการโรงงานอาจแสดงเหตุผลโดยแจ้งเป็นหนังสือต่อกรมโรงงานอุตสาหกรรมหรือสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดที่โรงงานตั้งอยู่

Øเพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตามกฎกระทรวงควบคุมการปนเปื้อนในดินและน้ำใต้ดินภายในบริเวณโรงงาน พ.ศ. 2559 ผู้ประกอบกิจการโรงงานต้องแสดงข้อมูลได้ว่าตนเองได้ดำเนินการติดตั้งบ่อสังเกตการณ์สำหรับการตรวจวิเคราะห์ดินและน้ำใต้ดินภายในบริเวณโรงงาน ซึ่งประกอบด้วยบ่อ 2 ประเภท คือ บ่อที่อยู่ในตำแหน่งเหนือน้ำเพื่อใช้เป็นบ่ออ้างอิง (Up-gradient) และบ่อท้ายน้ำเพื่อใช้ในการติดตามตรวจสอบการปนเปื้อนจากกระบวนการ (Down-gradient) โดยให้ครอบคลุมพื้นที่โรงงานที่มีศักยภาพก่อให้เกิดการปนเปื้อนแล้ว

Øการดำเนินการหากระดับน้ำใต้ดินเฉลี่ยในพื้นที่สถานประกอบกิจการโรงงานอยู่ลึกจากผิวดินเกินกว่า 15 เมตร และพิสูจน์โดยวิธีการที่ยอมรับได้ว่ามีชั้นหินแข็งอยู่ใต้พื้นที่โรงงานจนไม่สามารถเจาะดินและทำการติดตั้งบ่อสังเกตการณ์ เพื่อเก็บตัวอย่างน้ำใต้ดินได้ด้วยวิธีการปกติ ให้ผู้ประกอบกิจการโรงงานเก็บตัวอย่างดินชั้นบนก่อน ถ้าพบว่าดินชั้นบนดังกล่าวมีสารปนเปื้อนเกินกว่าเกณฑ์การปนเปื้อนในดิน ผู้ประกอบกิจการโรงงานต้องดำเนินการตรวจสอบคุณภาพดินและน้ำใต้ดินภายในบริเวณโรงงาน โดยละเอียดต่อไปทันที

Øการติดตั้งบ่อสังเกตการณ์จะต้องให้มีระดับความลึกของบ่อจากระดับน้ำใต้ดินลงไปมากพอ เพื่อให้มีปริมาณน้ำใต้ดินอยู่ในบ่อดังกล่าวเพียงพอ เพื่อดำเนินการเก็บตัวอย่างน้ำใต้ดินได้

ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง ควบคุมการปนเปื้อนในดิน… พ.ศ. 2559

จากประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง ควบคุมการปนเปื้อนในดินและน้ำใต้ดินภายในโรงงาน พ.ศ. 2559
สามารถสรุปเนื้อหาและแยกประเด็นสำคัญ โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับ “การตรวจสอบคุณภาพดิน” และ “การรายงานผล” ได้ดังนี้:


🔹 สรุปเนื้อหาหลักของประกาศ

  1. วัตถุประสงค์
    • เพื่อควบคุมการปนเปื้อนของสารเคมีอันตรายในดินและน้ำใต้ดินภายในโรงงาน
    • เพื่อกำหนดแนวทางการป้องกัน ตรวจสอบ และแก้ไขการปนเปื้อน
  2. ขอบเขตการบังคับใช้
    • โรงงานที่มีการใช้ เก็บรักษา หรือขนถ่ายวัตถุอันตราย
    • เน้นเฉพาะโรงงานประเภทที่มีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อน
  3. มาตรการควบคุมและตรวจสอบ
    • การประเมินความเสี่ยง
    • การจัดทำรายงานคุณภาพดินและน้ำใต้ดิน
    • การเสนอแนวทางควบคุม/แก้ไขการปนเปื้อน

🔸 ประเด็นสำคัญที่เกี่ยวกับ “การตรวจสอบคุณภาพดิน” และ “การรายงานผล”

1. การตรวจสอบคุณภาพดินและน้ำใต้ดิน

  • ต้องดำเนินการ สำรวจและวิเคราะห์คุณภาพ ดินและน้ำใต้ดิน ณ บริเวณที่อาจมีการปนเปื้อน เช่น:
    • บริเวณที่เก็บวัตถุอันตราย
    • จุดที่มีการรั่วไหล หรือเคยมีประวัติอุบัติเหตุ
  • ต้องวิเคราะห์สารปนเปื้อนตามรายการที่กำหนดในภาคผนวก เช่น โลหะหนัก สารอินทรีย์ระเหย ฯลฯ

2. ความถี่ในการตรวจสอบ

  • ปีละครั้ง หรือตามที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมกำหนด
  • กรณีเกิดอุบัติเหตุรั่วไหล ต้องตรวจสอบทันที

3. การจัดทำรายงานผลการตรวจสอบ

  • รายงานต้องประกอบด้วย:
    • ผลการวิเคราะห์คุณภาพดินและน้ำใต้ดิน
    • การเปรียบเทียบกับค่ามาตรฐาน
    • การประเมินความเสี่ยง
    • ข้อเสนอแนะหรือแนวทางการป้องกัน/ลดการปนเปื้อน
  • ต้องส่งรายงานต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามระยะเวลาที่กำหนด

4. มาตรการควบคุม / แก้ไข

  • หากตรวจพบการปนเปื้อนเกินเกณฑ์ ต้องจัดทำและเสนอ มาตรการควบคุมและลดการปนเปื้อน
  • ต้องดำเนินการตามมาตรการภายในระยะเวลาที่กำหนด