ขั้นตอนและวิธีการตรวจวัดการปนเปื้อนในดินและน้ำใต้ดินโดยห้องปฏิบัติการ
การตรวจวัดการปนเปื้อนในดินและน้ำใต้ดินเป็นหนึ่งในกระบวนการสำคัญที่โรงงานอุตสาหกรรมต้องดำเนินการตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม พ.ศ. 2559 เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน โดยมีขั้นตอนและวิธีการตรวจวัดหลัก ๆ ดังนี้:
1. การเตรียมข้อมูลพื้นฐาน
เริ่มจากการรวบรวมข้อมูลของโรงงาน ได้แก่ ที่ตั้ง ขนาด พื้นที่เสี่ยง สารเคมีที่ใช้หรือเก็บรักษา รวมถึงประวัติการรั่วไหลหรือการจัดการของเสีย ข้อมูลเหล่านี้ใช้สำหรับออกแบบแผนเก็บตัวอย่างและจุดติดตั้งบ่อสังเกตการณ์
2. การติดตั้งบ่อสังเกตการณ์ (Monitoring Well)
โรงงานต้องติดตั้งบ่อสังเกตการณ์ 2 ประเภท:
- บ่อเหนือน้ำ (Up-gradient): ใช้เป็นจุดอ้างอิงที่ไม่ได้รับผลกระทบจากโรงงาน
- บ่อท้ายน้ำ (Down-gradient): ใช้ติดตามการไหลของสารปนเปื้อนจากโรงงาน
การติดตั้งต้องอิงกับทิศทางการไหลของน้ำใต้ดิน และมีระดับความลึกเพียงพอเพื่อเก็บตัวอย่างน้ำได้
3. การเก็บตัวอย่างดินและน้ำใต้ดิน
- ดิน: เก็บจาก 2 ระดับความลึก ได้แก่ ชั้นผิว (0–30 ซม.) และระดับเดียวกับชั้นน้ำใต้ดิน
- น้ำใต้ดิน: สูบจากบ่อสังเกตการณ์โดยใช้เครื่องมือเฉพาะ เช่น bailer หรือ submersible pump
4. การวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ
ตัวอย่างจะถูกส่งตรวจตามวิธีมาตรฐาน ได้แก่:
- ดิน: ใช้แนวทาง SW-846 ของ U.S. EPA
- น้ำใต้ดิน: ใช้ Standard Methods for the Examination of Water and Wastewater (APHA, AWWA, WEF)
สารที่ตรวจมักเป็นกลุ่มโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว แคดเมียม หรือสารอินทรีย์ระเหย (VOC) เช่น เบนซีน และ TPH โดยผลการตรวจจะเทียบกับ “เกณฑ์การปนเปื้อน” ที่กำหนดในภาคผนวกของประกาศฯ
5. การรายงานผล
ผลการวิเคราะห์จะถูกจัดทำในแบบฟอร์มรายงานที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมกำหนด หากพบว่าค่าการปนเปื้อนเกินเกณฑ์ โรงงานต้องจัดทำ “แผนลดและควบคุมการปนเปื้อน” ทันที
บทสรุป
การตรวจวัดดินและน้ำใต้ดินแม้ดูซับซ้อน แต่หากวางแผนและดำเนินการตามขั้นตอนอย่างถูกต้อง ก็สามารถควบคุมความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างความเชื่อมั่นให้กับชุมชนได้อย่างยั่งยืน โรงงานที่มีระบบตรวจสอบอย่างเป็นระบบ ย่อมมีความพร้อมต่อการรับมือกับทั้งการประเมินด้านกฎหมายและผลกระทบทางธุรกิจในอนาคต